|
ตอนที่
6. เรื่องไอ้กรียังไม่จบครับ
สมัยมอสี่ตอนไปฝึกภาคสนามของร.ด.
ที่แถวๆวิภาวดี
วันสุดท้ายของการฝึก
ครูฝึกกำลังอบรมพวกนักศึกษาเรื่องอย่าไปตีกันเอง
ตอนช่วงที่เขากำลังทยอยปล่อยร.ด.ให้กลับบ้านทีละโรงเรียน “พวกเธอนะ ครูเห็นประจำ ตีกันอยู่ได้ถ้าจับได้จะพาไปอยู่ชายแดนเขมรให้มันตีกับพวกเขมรซะให้เข็ด แทนที่จะสามัคคีกัน ประเทศชาติยังต้องการความสามัคคีอีกเยอะ....”
ไม่ทันพูดขาดคำ
เสียงระเบิดดังขึ้นที่หน้ากรมทหารราบที่หนึ่ง
พร้อมกับเสียงโวยวายและภาพนักศึกษาวิชาทหารวิ่งหนีกัน “อ้าวพูดยังไม่ทันขาดคำ มันเอาซะละ จ่าไปดูซิมีใครแขนขาดขาขาดหรือเปล่า”
ครูฝึกส่ายหน้า
แล้วก็กักโรงเรียนผมอยู่ราวๆชั่วโมงรอให้สารวัตรทหารไปเคลียร์พื้นที่ก่อน
หลังจากที่ครูฝึกปล่อยพวกผมกลับบ้านแล้ว
พวกผมรวมทั้งไอ้กรีมารอเท๊กซี่อยู่ฝั่งตรงข้ามกรม
ขณะที่ยืนรอแท๊กซี่
มีกลุ่มร.ดโรงเรียนช่างกลวิ่งหนีคู่อริมาทางพวกผม
ไอ้กรีเห็นจึงวิ่งไปด้วยพร้อมกับตะโกน “เฮ้ยวิ่งโว๊ย”
พวกผมยืนงงๆว่ามันจะวิ่งทำไม
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นคู่กรณีด้วย
ส่วนไอ้กรีวิ่งไปได้สามสี่เมตรมันก้หยุดแล้วก็เดินกลับมา
พลางบ่นพรึมพรำ “กูจะวิ่งทำไมวะ” ซักพัก
พวกที่วิ่งตามก็วิ่งผ่านพวกผมพร้อมกับมองที่ป้ายชื่อโรงเรียน
พอไม่ใช่คู่อริ
ก็วิ่งต่อ
ส่วนพวกผมเรียกเท๊กซี่ได้แล้วกำลังจะเข้าไปนั่งก็มีร.ด.จากโรงเรียนที่วิ่งหนีโผล่มาจากไหนไมทราบโดดเข้าแท๊กซี่ด้วย “พี่ๆ ผมขอไปด้วย”
เด็กคนนึ้หน้าตื่นพร้อมยกมือไหว้พวกผม
พวกผมเห็นแล้วน่าสงสารเลยให้นั่งรถมาด้วย
พอผ่านกลุ่มคู่อริจึงปล่อยเขาลง เรื่องตีกันนี่เด็กอัสสัมไม่ค่อยจะเชี่ยวชาญครับ
ตอนอยู่มอห้า
พวกผมไปอบรมร.ด.ที่ค่ายทหารม้า
กับโรงเรียนช่างกลชื่อดังโรงเรียนหนึ่ง
ทุกอาทิตย์พวกเด็กอัสสัมจะนั่งกระจัดกระจายกันในโรงทหารพร้อมกับเสียงเจี๊ยวจ๊าว
ปะปนกับเสียงของพวกเด็กชั่งกล
แต่แล้วมีอยู่อาทิตย์นึง
ขณะที่พวกผมคุยกันอยู่ก็ได้ยินเสียงตะคอกมาจากกลุ่มเด็กช่างกล “มึงอยากตายหรือไงวะ หา มา กูจะฆ่ามึงเอง” พวกผมหันไปทางต้นเสียงพร้อมกับเห็นใบมีดคัตเตอร์กำลังจ่อคอเด็กช่างกลอีกคน
เด็กอัสสัมเงียบหมด
ผมพบว่าจากที่นั่งกระจัดกระจายกันทั่วโรงทหาร
เด็กอัสสัมวิ่งไปนั่งกระจุกอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงทหารโดยอัตโนมัติ
ผมเห็นแล้วจะขำก็ขำไม่ออกเพราะบรรยากาศกำลังเครียดๆ
แต่หลังจากรู้ว่าเด็กช่างกลแค่เอาใบมีดคัตเตอร์ขู่คู่อริเฉย
เด็กอัสสัมค่อยๆขยายที่นั่งคุยกันต่อ
อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าเด็กโรงเรียนผมส่วนมากมักจะไม่ค่อยจะไปหาเรื่องชาวบ้าน
เท่าไหร่
ถ้ามีเหตุจะต้องตีกันพวกผมจะวิ่งหนีเอาตัวรอดซะเป็นส่วนใหญ่
แต่กระนั้นก็ยังไม่วายที่จะมีเรื่องชกต่อยกับพวกเด็กช่างกลจนได้
ปีเดียวกันนั่นเอง
ขณะที่พวกผมกำลังรอขึ้นรถเมล์
ก็ได้ยินเสียงเด็กช่างกลกลุ่มที่เรียนร.ด.ที่เดียวกับพวกผมโวยวาย พวกผมไม่ทันรู้อะไรพวกช่างกลวิ่งมาผลักไอ้เชียรล้มแล้วรุมกระทืบซ้ำ
ไอ้พวกผมก็ไม่รู้จะห้ามกันยังไงเพราะพวกนั้นมันมีทั้งกระบองทั้งมีด
จนครูฝึกมาเห็นพวกเด็กช่างกลจึงได้หยุดและวิ่งหนีไป
ไอ้เชียรหน้าเลยเห่อเลยครับ
ไอ้หน้าที่มันกวนตีนมาแต่กำเนิดแล้ว
ก็ยิ่งกวนเข้าไปใหญ่
เรือ่งก็เลยขึ้นไปถึงผู้ใหญ่ของโรงเรียนทั้งสองฝ่ายต้องตามหาตัวไอ้ตัวก่อเรื่องมาชดใช้ค่าเสียหาย
ผมไม่ทราบว่าเรื่องมันจบยังไง
แต่รู้ว่าไอ้เชียรไม่เรียนร.ด.ต่อเลย
จริงอย่างที่ครูฝึกพูดไอ้พวกนี้ต้องให้มันไปวิ่งล่อกับระเบิดของพวกเขมรหรือไม่ก็พม่ามันถึงจะอยู่อย่างสงบในเมืองได้
ไม่ต้องไปหาเรื่องชาวบ้านเขา
ขนาดไอ้เชียรมันเป็นคนไม่ชอบหาเรื่องชาวบ้าน
อยู่คนเดียวเงียบๆอยู่แล้ว
แค่หน้ามันกวนตีนหน่อยเท่านั้นเอง
ไอ้พวกจิตไม่ว่างก็ยังมาหาเรื่องว่าไปมองหน้ามันกวนตีน
“หน้ากูก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว
แม่งงงมาหาว่ากูไปมองหน้ามัน”
ไอ้เชียรมาบ่นให้พวกผมฟัง พูดถึงเรื่องร.ด
แล้วไม่พูดถึงเรื่องของผมก็ไม่ได้
ผมกับร.ดจะไม่ค่อยถูกกันมาตั้งแต่สมัยปีหนึ่งยันปีสามแล้วครับ
ตอนจบก็ยังไม่วายจะมีปัญหาส่งท้ายอีก
ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ผมเป็นลมในขณะฝึก ตอนปีหนึ่งขณะที่ฝึกสวนสนาม
ผมคงผูกเชือกรองเท้าแน่นไปหรือยังไงไม่ทราบ
เดินๆวิ่งๆฝึกอยู่ก็รู้สึกหน้ามืดจะเป็นลมให้ได้
ขณะที่ครูฝึกสั่งให้หยุด
ผมกลับวิ่งไม่ยอมหยุด
แต่วิ่งไปหาครูฝึกแทนแล้วบอกว่า “ผมจะเป็นลมครับ”
ครูฝึกคงเห็นหน้าผมซีดๆเลยให้ผมไปพัก
ซักพักนึงไอ้ม้ามันก็เป็นลมตามมาอีกคน
ไอ้ม้านี่ชื่อมันจริงๆชื่อมารุตครับ
ชื่อม้านี่เพื่อนๆตั้งให้จากชื่อสกุล..ม้าเร็ว..
มารุต
ม้าเร็ว ต่อมาฝึกภาคสนามปีสองที่กองพันทหารราบที่
สิบเอ็ด
ซึ่งขึ้นชื่อว่าฝึกร.ดโหดมาก
หลังจากที่ทั้งคลานสูงคลานต่ำ
หมุนไปก็หมุนมา
ครูฝึกก็ให้นั่งกระโดดอีก
จนผมทนไม่ไหวหน้ามันมืดไปหมด
จึงตะโกนออกมา “ครูครับ” “ว่าไง” ครูฝึกขานรับ “ผมจะเป็นลมครับ” ผมตอบกลับ “เป็นลมก็ออกมาข้างนอกซะ” ผมเดินออกมานั่งกลางแดดข้างหน้าแถว
แต่ตอนนั้นผมคลื่นไส้มาก
จะนอนก็นอนไม่ได้นั่งก็นั่งไม่ได้
เลยทำท่าเซ็กซี่ให้เพื่อนๆดู
ไอ้ม้ามันบอกกับผมทีหลังว่า
เหมือนนางแบบหนังโป๊ทำท่าอ่อยเหยื่ออย่างไงก็อย่างงั้น ทำท่าแบบนั้นไปซักพัก
ครูฝึกคงจะทนสมเพชไม่ได้ “อ้าว
ใครพาไอ้แว่นไปห้องพักหน่อยซิ
ทุเรศลูกกะตา” ไอ้เอ
กับไอ้ม้าถือโอกาศพักด้วย
เลยออกมาแบกผมกลับไปที่เต้นท์คนป่วย พูดถึงตอนที่ฝึกที่ราบสิบเอ็ด
มีอยู่ครั้งหนึ่ง
พวกผมต้องเดินลาดตระเวน
มันมีกฏอยู่อย่างหนึ่งว่า
ถ้าครูฝึกเป่านกหวีหนึ่งครั้งหมายถึงกำลังจะมีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด
ทุกคนจะต้องหมอบลงกับพื้น
พวกผมก็ชอบซิครับ
หมอบลงไปจะได้พักด้วย
บางคนหลับไปเลยก็มี
ผมก็อยากจะให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิดบ่อยๆด้วยซ้ำ
แต่แล้วเหมือนกรรมจะตามทัน
ครั้งสุดท้ายที่ครูฝึกเป่านกหวีด
อารามดีใจผมเลยกระโดดหมอบลงโดยไม่ดูว่ามีอะไรอยู่บนพื้นบ้าง
พอหมอบเสร็จผมก็รู้สึกว่าได้กลิ่นอะไรอยู่ตรงหน้า
ลืมตามาดู
ไอ้หยา
ขี้หมาครับ
กองอยู่ตรงหน้าผมพอดี
ดีที่เป็นขี้หมาแห้ง
แต่ก็ทำให้ผมเกือบจะอ๊วกออกมาเลยล่ะครับ ตอนฝึกปกติปีสองที่ทหารม้า
ขณะที่ฝึกแถวอยู่และได้เวลาที่ผมจะเป็นลม
“ขออนุญาติครับ”
ผมตะโกนดังลั่นกองพัน
ทุกคนรวมทั้งบรรดาครูฝึกหันมาทางผมเป้นจุดเดียวกัน “ว่ายังไง
เป็นอะไร” ผู้กอง
หัวหน้าครูฝึกตะโกนถาม “เป็นลมครับบบบบ”
ผมตะโกนออกมา
พวกเพื่อนๆผมฮากันกลิ้ง
แต่ตอนนั้นผมไม่สนใจอะไรแล้วครับ
หน้าัมันมืดไปหมด
กำลังจะล้มตัวลงพอดีครูฝึกเดินผ่านมาพอดีเลยรับผมไว้ทัน หลังจากนั้นมาพวกเพื่อนๆผมจะรู้กันเลยว่าผมจะต้องเป็นลมทุกครั้งที่ฝึกร.ด
บางคนก็จะเตรียมวาเป๊กไว้ให้
แม้แต่บางทีเดินเที่ยวสยามเพื่อนๆผมจะต้องหันมามองผม
วันดีคืนดีก็จะบอกว่า
หน้าก่อนนี้ || หน้าต่อไป
|
หน้าแรก || เรื่องยาวทั่วไปหลายตอนจบ || นิยายวิทยาศาสตร์ || บทความพิเศษ || เรื่องเขาเล่ามา Copyright © 2001 by Kritapak Boonteekul. All rights reserved. No part of the contents of this website may be reproduced or transmitted in any form or by any means without the written permission of the owner. |