|
เรื่องน่ารู้
เคี้ยวอาหาร
เคี้ยวมาก จะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “อาหาร1
คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย
3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้” มีอาจารย์ท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก
สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ
100 ที แล้วปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา
1 สัปดาห์ การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น
ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย
การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย
(SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา
ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย
การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น
ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย
การขบคิดและสมาธิ
คนที่กินอาหารอ่อนนุ่มบ่อย
ๆ หรือเคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้หรือเคี้ยวน้อยไป
สมองก็จะอ่อนแอด้วย ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลองจำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหารจำนวนที การเคี้ยวอาหาร 30 ที ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ การเคี้ยวอาหาร 50 ที จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย การเคี้ยวอาหาร 60 ที เหมาะสำหรับอาหารที่มีใยหรือกากมากหรือย่อยสลายลำบาก ช่วยลดอาการท้องผูก กระตุ้นสมรรถนะของสมองใหญ่ ช่วยให้สมองแล่นมากขึ้น การเคี้ยวอาหาร 80 ที ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น สามารถจำแนกรสธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษในอาหารได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยให้เลียนแบบสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น การเคี้ยวอาหาร 100 ที ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่าง ๆ อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างการดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อหรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย การเคี้ยวอาหาร
150 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว
150 ที ต่ออาหารหนึ่งคำ กระเพาะอาหารและลำไส้จะมีสมรรถนะสูงขึ้น
นอกจากนี้ยังช่วยให้หายจากโรคเรื้อรังบางอย่างโดยไม่ต้องรักษา
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดังใจ
การเคี้ยวอาหาร
200 ที
ถ้ายืนหยัดเคี้ยว
200 ที ต่ออาหาร
1 คำได้ทุกมื้อแล้ว
จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง
และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่าง
ๆ
ได้แม่นยำมากขึ้น ถ้าผู้ที่เป็นมารดาเอาแต่ป้อนอาหารที่อ่อนเหลวและมีคุณค่าอาหารค่อนค้างสม่ำเสมอ แก่เด็กแล้ว เด็กโตขึ้นก็จะติดนิสัยเลว ๆ ที่ชอบกลืนอาหารโดยไม่เคี้ยวและไม่มีทางได้สัมผัสความรู้สึกอิ่มในการกินอาหารท้ายที่สุดก็จะติดความเคยชินชอบกินอาหารมากเกินไป นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กอ้วนเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เคยมีคนสำรวจเด็กอายุระหว่าง
1-5 ขวบ
จำนวน 39,000 คน
ผลปรากฏว่า เด็กที่ขบเคี้ยวอาหารค่อนข้างแข็งไม่เป็นมีจำนวนถึง
550 คน
พูดง่าย ๆ
ก็คือ
เด็กทุก 75 คน
จะมีเด็ก 1 คน ขบเคี้ยวอาหารไม่เป็น อีกทั้งนี่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในประเทศต่าง ๆ ของโลกทุกวันนี้ ผลการสำรวจของ ดร. ดับเบิลยู เอ พูลเลอรส์ นายแพทย์ชาวอเมริกันพบว่า ชาวเอสกิโมและชาวอินเดียนามีอาการขากรรไกรล่างไม่แข็งแรง เนื่องจากการกินอาหารกระป๋องและอาหารรสหวานมากไปเป็นเวลายาวนานทั้งที่เดิมทีพวกเขามีฟันเหงือกและขากรรไกรที่แข็งแรงมาก เนื่องจากต้องเคี้ยวอาหารดั้งเดิมของพวกเขาซึ่งมักมีเอ็นเหนียวอยู่ด้วย ถ้าเคี้ยวอาหารไม่ถูกหลัก มิเพียงจะทำให้ฟันผุเท่านั้น แม้แต่สมอง อวัยวะภายใน เอว แขนขา ก็จะพลอยได้รับผลกระทบอย่างหนัก หนังสือโภชนาการชีวิตและความเสื่อมของร่างกาย
ซึ่งเขียนโดยนายแพทย์ท่านหนึ่งได้เตือนผู้อ่านอย่างจริงใจว่า
ความเคยชินที่ไม่ถูกต้องในการกินอาหาร
ทำให้เกิดโรคจิตและโรคในส่วนศีรษะได้ง่าย ข้อความที่แฝงความหมายลึกซึ้งและจริงใจนี้
มิได้ขยายความเกินจริงอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า
การเคี้ยวมีสมรรถนะช่วยขจัดพิษด้วย
จาก คู่มือเตรียมความรู้สู่มหาวิทยาลัย, วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2540
|
หน้าแรก || เรื่องยาวทั่วไปหลายตอนจบ || นิยายวิทยาศาสตร์ || บทความพิเศษ || เรื่องเขาเล่ามา Copyright © 2001 by Kritapak Boonteekul. All rights reserved. No part of the contents of this website may be reproduced or transmitted in any form or by any means without the written permission of the owner. |