|
บทที่ 1 แรกขวัญก้มหน้าลงมองซองเอกสารสีขาวซองใหญ่บนโต๊ะทำงานเบื้องหน้า
ซึ่งยื่นส่งมาให้เธอโดยชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนใหญ่ แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก 'ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง' “แกะดูซิแรกขวัญ” ประโยคนี้เองที่ทำให้หญิงสาวค่อย
ๆ ยื่นมือที่สั่นไหวเล็กน้อยหยิบซองตรงหน้าขึ้นมาไว้ในมือ และค่อย ๆ
ลงมือแกะอย่างช้า ๆ
เมื่อดึงเอกสารด้านในออกมา เธอจึงค่อยยิ้มออกมาได้
เพราะสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาก็คือ
รูปเครื่องบินโดยสารทั่วไปที่เคยเห็นจนเจนตา
หาใช่เงินเดือนงวดสุดท้ายอย่างที่คาดคะเนเอาไว้แต่ตอนต้นไม่ “ผมพอจะรู้มาว่าคุณชอบศึกษาเรื่องความลี้ลับของจักรวาล” แรกขวัญเลื่อนสายตาจากเอกสารปึกหนาหน้าปกรูปเครื่องบินที่ไม่ปรากฏสัญชาติ
สัญลักษณ์ใดที่เคยเห็น มาสบสายตาที่มองตรงมาด้วยความสงสัย
ด้วยไม่เข้าใจในที่มาของคำถามที่ได้รับว่าไอ้เจ้าเครื่องบินลำนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับความลี้ลบลี้ลับของจักรวาล
เพียงแต่หล่อนรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องชวนคุยธรรมดาแน่นอน
ต้องมีอะไรสักอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำถามนั้น
และสิ่งซ้อนเร้นนั้นจะต้องเกี่ยวกับภารกิจอะไรสักอย่างหนึ่ง
เพียงแต่ว่าหล่อนนึกไม่ออกก็เท่านั้นเอง "คะ"
แรกขวัญตอบงง ๆ ”
ตอนเด็กขวัญเคยใฝ่ฝันที่จะเป็นนักดาราศาสตร์” “แล้วตอนนี้ความฝันมันหายไปไหนแล้วละสาวน้อย” แรกขวัญค่อยยิ้มออกมาได้
เมื่อคำว่า “สาวน้อย” ผ่านเข้าหู
อาการเกร็งนับแต่เริ่มแรกเมื่อถูกเรียกตัวให้เข้าพบ ค่อยผ่อนคลายลงจนปกติ “ก็ยังมีอยู่คะ”
น้ำเสียงเธอก็สดใสขึ้นเช่นกัน “เพียงแต่ว่าขวัญแอบเก็บเอาไว้ในลิ้นชัก” “ไม่ใช่ที่ท้องฟ้าจำลองที่คุณไปทุกเดือนหรือ” แรกขวัญแกล้งทำตาโต
“บอกอรู้ได้ไงคะว่าขวัญไปที่นั่นทุกเดือน” มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากริมฝีปากหนาของคนตรงข้ามเพราะความชอบใจ
จนไขมันหน้าท้องกระเพื่อมไปมา “คุณลืมไปแล้วหรือว่าแรกขวัญ ผมมันหูทิพย์ตาทิพย์” เหยี่ยวข่าวสาวหนังสือพิมพ์ไทยดำรงอมยิ้ม
“
ขอโทษคะ ขวัญลืมไปว่ากำลังคุยอยู่กับใคร” แรกขวัญหยิบเอกสารซึ่งได้รับมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้นมาดูอีกรอบ
หลังจากผ่านรอบแล้วรอบเล่า นับแต่วันที่ได้รับ “มันไม่ใช่เครื่องบินธรรมดานะแรกขวัญ
คุณลองสังเกตดูให้ดี” ภาพเหตุการณ์ และคำพูดต่าง ๆ ระหว่าง บรรณาธิการอาวุโสกับเธอในวันนั้น ยังคงก้องอยู่ในสมอง “กล้องที่ใช้ถ่ายภาพนี้
เป็นกล้องชนิดพิเศษที่ได้รับการคิดค้นขึ้นมาใหม่โดยนักดาราศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม
ซึ่งการทำงานเยี่ยมยอดกว่ากล้องถ่ายรูปทั่วไปอย่างสุดแสนพิเศษ
มันสามารถถ่ายได้ทั้งที่มืดและที่สว่างโดยไม่ต้องใช้แฟลชช่วย
และยังทำงานได้เหมือนเครื่องฉายเอ็กซเรย์ ที่ใช้ในโรงพยาบาล นั่นก็คือ
มันสามารถถ่ายสิ่งที่เป็นโครงสร้างข้างในได้ด้วย” “ถ่ายสิ่งที่เป็นโครงสร้างข้างในได้ด้วยหมายความว่าอะไรคะบอกอ” เธอจำได้
เธอยิงคำถามอย่างสงสัย “คุณลองพลิกดูช้า
ๆ ทีละหน้าซีแรกขวัญ แล้วคุณจะเข้าใจ” เธอเริ่มทำตามคำแนะนำ
จนกระทั่งถึงกระดาษแผ่นสุดท้าย เธอถึงกับอดไม่ได้ที่จะหยิกท่อนแขนของตัวเอง
อย่างกับต้องการจะรู้ว่า “ทุกอย่างเป็นของจริง
ไม่ใช่ภาพที่ถ่ายมาจากหนังเรื่องไหนทั้งสิ้น และไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรสักอย่างในการถ่าย
นอกจาก” เสียงของบรรณาธิการร่างอ้วนหยุดชะงักลงชั่วครู่
ก่อนจะดังขึ้นมาใหม่ แต่ระดับเสียงแผ่วเบากว่าเดิมมาก “กล้องที่ว่าตัวนั้น” จนกระทั่งเธอหายจากการตกตะลึง
จึงได้ยินคำถามดังเข้าหู ทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นโดยชั่วครู่ในเวลาต่อมา “ข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากนาซ่าหรือคะ” เธอคาดคะเน ชายผู้สูงวัยกว่า
ส่ายศีรษะไปมา “ไม่ใช
คุณก็รู้นี่นาแรกขวัญ
เป็นเรื่องยากมากที่นาซ่าจะแพร่กระจายข่าวอะไรออกมาสักอย่างโดยปราศจากหลักฐาน
ข้อพิสูจน์แน่ชัด” “ถ้าอย่างนั้น
ก็เป็นองค์การอื่น ๆ ที่สร้างข่าวมาขายกันตลอดเวลาหลายสิบปี
จนเราไม่รู้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนหลอกให้หัวปั่นเล่น” เธอเดา คนฟังอมยิ้มชอบใจ “แต่เอกสารในมือของคุณตอนนี้
เราได้มาจากแหล่งข่าวที่พอจะเชื่อถือได้
คนที่ส่งเรื่องนี้มาให้ผมเป็นคนที่ผมคุ้นเคย” “หมายความว่า” ผู้เรียกเธอเข้าไปพบพยักหน้ารับ “ใช่
ผมต้องการให้คุณทำข่าวนี้แรกขวัญ
ตอนแรกผมก็ไม่สนใจหรอกนะ
แต่เมื่อได้อ่านรายละเอียดแล้วก็คิดว่าน่าสนใจไม่น้อย
อีกอย่างสถานที่ที่ถ่ายภาพนี้ก็ใกล้แค่เพียง จังหวัดชุมพรเท่านั้นเอง ” “แล้วคนที่บอกอเลือกจะให้ทำข่าวนี้ก็คือขวัญ” เธอต่อให้อย่างนึกรู้ บรรณาธิการไทยดำรงพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่
ผมไม่เห็นใครที่จะเหมาะสมเท่าคุณอีกแล้วแรกขวัญ ตอนแรกผมเล็งวารุณีเอาไว้
เพราะเห็นลุย ๆ ดี แต่พอได้รับข้อมูลคุณ ผมเลยเปลี่ยนใจมาเป็นคุณ” รวมทั้งคำพูดทิ้งทาย หลังจากเออออห่อหมกให้เธอรับเรื่องนี้มาทำ
ก่อนที่เธอจะเปิดประตูออกจากห้องทำงานที่ก้าวเข้าไปอย่างหวั่นเกรงว่า “คงยังไม่ลืมนะแรกขวัญ ที่ผมเคยบอกคุณว่าคนที่เป็น นักข่าว นักสืบ
ทหาร ตำรวจ แล้วก็โจรที่ดี
ต้องมีคุณสมบัติเหมือนกัน คือต้องเป็นนักสำรวจ นักวางแผนที่ดี
และแผนนั้นจะต้องเยี่ยม และฉับไวที่จะใช้งาน” แรกขวัญสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อหล่อนดังขึ้น
หญิงสาวขยี้ตาไปมาอย่างงัวเงีย แต่ เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าว น่าอาย
น่าอายชะมัด
นี่หล่อนเผลอหลับไปได้ยังไง ปรายตาไปมองบุรุษแปลกหน้าที่นั่งคู่กันในตอนหน้าของรถแล้วแอบถอนหายใจ
ด้วยใบหน้าที่ห่างอยู่แค่ไม่กี่คืบยังคงเป็นปกติ
ไม่มีวี่แววที่จะแสดงท่าทีอะไรออกมาให้หล่อนอับอายแม้แต่น้อย สงบนิ่ง และดูเฉยเมย เหมือนเช่นแรกพบ ที่สถานีขนส่งเมื่อเธอก้าวลงมาจากรถโดยสารปรับอากาศ
แล้วมีเสียงทักเบา ๆ ว่า “คุณแรกขวัญใช่ใหมครับ” “ถึงแล้วหรือคะ” แรกขวัญเอ๋ยปากถาม
พร้อม ๆ กับใช้สายตามองผ่านกระจกใสออกไปข้างนอก “ครับ” คำตอบที่ได้รับ
“สั้น” จนแรกขวัญอยากจะเกาหัวให้หายกลุ้ม
เพราะมันไม่ได้ช่วยให้หล่อนได้รับรู้อะไรมากขึ้นแม้แต่นิดเดียว "พระจันทร์ในป่าใหญ่" เอี้ยวตัวไปยังประตูรถด้านข้าง เมื่อเห็นบุรุษผู้นำทางก้าวลงจากรถ ทันทีที่เท้าเหยียบพื้นดิน
เธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งแว่วเข้าหู
เสียงนั้นประหลาดนัก
ท่วงทำนองคล้ายๆกับบทสวดมนต์อะไรสักอย่าง
แต่ไม่ยักจะใช่ “เสียงอะไรหรือคะ” “แล้วคุณคิดว่าเสียงอะไรละ
แรกขวัญ” แรกขวัญหันไปมองบุรุษข้างกายแล้วสั่นศรีษะ “ฉันนึกไม่ออกคะ ไม่แน่ใจ
ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงคนสวดมนต์
แต่พอฟังดีดีแล้วฉันรู้ว่าไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นเสียงสวดมนต์จริง
ฉันว่า…มันน่าจะเคยผ่านหูฉันมาบ้าง ถึงฉันจะห่างวัด
แต่ฉันก็ไม่ใช่คนห่างศาสนา…อีกอย่าง…ฉันแน่ใจว่าคงไม่มีบทสวดมนต์บทใด
ของศาสนาไหนที่ขึ้นต้นว่า “โอม” ถี่ทุกบท ทุกวรรคอย่างนี้แน่” มีเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังเข้าหู
ซึ่งแรกขวัญไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้
ดังขึ้น แทรกทับเสียงประหลาด หัวเราะ
ที่คนฟังเมินหน้าหนีไปอีกทาง
แล้วบ่นอุบอิบ
แปลกพอกัน “มันเป็นเสียงสวดมนต์จริง
ๆ แรกขวัญ” “หรือคะ
ไม่น่าเชื่อ” บุรุษร่างสูงสง่า
ท่าทางอย่างคนที่มีความมั่นใจในตนสูงพยักหน้ายืนยัน แต่เมื่อมองเห็นว่าไอ้การพยักหน้าของตนไม่สามารถทำให้เกิดความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นได้
เสียงนุ่มทุ้มก็ดังขึ้น “จริงๆ
แรกขวัญ มันเป็นบทสวดมนต์จริง” แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย… สีหน้าของผู้เพิ่งเดินทางมาถึงสิรินวณาเป็นครั้งแรกคงฟ้องคำพูดเช่นนี้
ดังนั้นในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา เธอถึงกับต้องยิ้มแห้ง ๆ
พลางพยักหน้ารับ เมื่อ….“มนุษย์ทุกผู้ทุกคนล้วนมีเรื่องที่ไม่รู้มากกว่าเรื่องที่รู้ทั้งนั้น…แม้แต่คนดีมีกรีสูงๆ
ก็ล้วนแต่เหมือนกัน” “ช่วยเปิดท้ายรถให้ฉันหน่อยคะ” แรกขวัญไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีไปกว่านี้
หลังจากที่หล่อนรู้สึก “จนมุม” ร่างสูงพยักหน้ารับคำ
แล้วเดินตรงไปยังท้ายรถ ไม่นาน….กระเป๋าเดินทางใบย่อมของแรกขวัญก็อยู่ในอุ้งมือใหญ่แข็งแรง “ฉันถือเองได้คะ” กล่าวอย่างเกรงใจ
เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายไม่ยอมส่งมาให้หล่อนแน่ ๆ “ผมช่วย…คุณเหนื่อยกับการเดินทางมาพอแล้ว” “ขอบคุณคะ” รอยยิ้มบาง
ๆ ปรากฏบนใบหน้าคนตัวใหญ่ ยิ้มที่หัวใจแรกขวัญบอกว่า
“เก๋ชะมัดยาด”
แรกขวัญไม่แน่ใจว่าระหว่าง
“ง่วง” กับ “มึน” ที่เกิดขึ้นกับหล่อนในขณะนี้อะไรมากกว่ากัน ง่วง….แน่ละ
หล่อนจะต้องง่วงแน่ๆ ในเมื่อหล่อนอดตาหลับขับตานอนอยู่บนรถตั้งหลายชั่วโมง ส่วนไอ้เจ้าความ
มึน
นี่หล่อนไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร….รู้แต่ว่ามันคงจะเกิดจากอะไรสักอย่างหนึ่งแน่
แต่ก็นึกไม่ออก เธอเดินตามร่างสูงที่ก้าวนำออกไปข้างหน้าอย่างคนที่หมดเรี่ยวแรง
แม้ว่ามือทั้งสองจะว่างเปล่าก็ตามที เสียง…บทสวดมนต์ประหลาดยังคงดังก้องเช่นเคย “เขาสวดกันอยู่ตรงไหนคะ” ถึงแม้ว่าจะเดินแทบไม่ไหว
เหยี่ยวข่าวสาวก็ไม่ยอมทิ้งนิสัย “อยากรู้” ของตน “ที่หอสูงครับ” “นั่นหรือคะ” แรกขวัญพึมพำ
พร้อมกับเงยหน้ามองตามนิ้วชี้ ของคนตรงหน้าที่ชี้ตรงไปยังหอสูงรูปทรงปิรามิด “ครับ” หล่อนเงียบไปเมื่อได้รับคำตอบที่พอใจ
หาก…ครู่ต่อมา “เขาลุกขึ้นมาสวดมนต์กันตั้งแต่…เอ้อ..เช้ามืด..แบบนี้ทุกวันหรือคะ” หล่อนเลี่ยงใช้
“เช้ามืด” แทน “ไก่โห่” เพราะคิดว่าคงจะไม่สุภาพในเมื่อหล่อนยังไม่สนิทสนมกับคนที่จะให้คำตอบดีพอ “ครับทุกวัน…มนุษย์”
คำตอบสะดุดไปเล็กน้อย “ไม่ควรห่างศาสนา” คนฟังก้มมองนาฬิกาข้อมือ
แล้วอยากจะเป็นลมล้มพับ 'ซวยแล้วไหมตู นี่คงต้องลุกขึ้นมาสวดตอนตีสี่กับเขาด้วยแน่ ๆ เลย' ส่วนท้ายประโยคแรกขวัญไม่ได้ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว
ยิ่งเดินแรกขวัญก็ยิ่งรู้สึกว่ายิ่งไกล
แล้วไหนเธอยังจะต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะก้าวตามร่างสูงที่เดินนำไปข้างหน้าให้ทันอีกด้วย 'อีกไกลไหมคะ'
แรกขวัญอยากจะถามประโยคนี้เหลือเกิน
แต่หล่อนก็จำต้องข่มใจครั้งแล้วครั้งเล่า
ซึ่งมันก็คงเป็นจำนวนมากพอ ๆ
กับการที่หล่อนยกมือขึ้นปิดปากเมื่อหาวในแต่ละครั้งนั่นเอง “ที่นี่…ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงหรือคะ” แรกขวัญนึกสงสัยเมื่อเห็นว่าตลอดทางเดินนั้น
หล่อนไม่เห็นแสงสว่างจากที่ใดเลย
คงมีแค่เพียงแสงสว่างจากจันทร์เจ้าดวงกลมลอยหน้าลอยตาอยู่บนฟ้าเท่านั้น “เรามีพลังงานจากแสงอาทิตย์เพียงพอ” “หรือคะ…แหมทันสมัยจัง” ร่างสูงเดินนำหน้าหยุดชะงัก
จากนั้นจึงเอียงหน้ามาถามคนเดินหลังต้อย ๆ ด้วยความแปลกใจ “ทำไมหรือแรกขวัญ…การใช้พลังงานแสงอาทิตย์นี้มันทันสมัยยังไงหรือ” แรกขวัญยิ้มแห้ง
ๆ แล้วส่ายศรีษะไปมาอย่างหน้าตาเฉย อยากบอกว่า.. 'ยามนี้ฉันนึกอะไรไม่ออกหรอกยะ
ที่ถามไปนั้นมันก็แค่พล่ามไม่ให้ฉันหลับเท่านั้นแหละ
แต่ก็ไม่กล้าพูด' คนนำทางเข้าใจส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยคล้ายอ่อนระอา
จากนั้นจึงก้าวนำอีกครั้ง แรกขวัญยักไหล่ นึกเซ็งตัวเองขึ้นมาตงิดที่หล่อนพล่ามถามอะไรต่อมิอะไรออกไปไม่เข้าที ดังนั้นระยะทางที่เหลือจนกระทั่งถึง
“ที่พักของคุณ” แรกขวัญจึงจำต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะปิดปากตัวเองให้เงียบที่สุด แม้ว่าหล่อนจะมองเห็นเงาอะไรบางอย่างวูบไปวาบมาหลายครั้ง
รวมทั้งบทสวดมนต์ที่เงียบหายไปดื้อ ๆ แล้วมีเสียงไก่ป่าขันรับกันเป็นช่วง ๆ แทนที่ เหยี่ยวข่าวสาวผลักบานประตูที่พัก
แล้วเดินตรงไปยังด้านใจ
เมื่อคนนำทางกล่าวอำลา
“ราตรีสวัสดิ์” ราตรีสวัสดิ์ ซึ่งคนฟัง
ฟังแล้วอมยิ้มชอบใจนักหนา เออหนอ…มันฟังดูเป็นไทยๆ และอบอุ่นดีพิลึก
แทบจะโยนสัมภาระในมือทั้งหมดลงบนพื้นเมื่อแรกขวัญมองเห็นเตียงนอนกลางห้อง
แต่เมื่อนึกขึ้นว่าขืนหล่อนทำเช่นนั้น
สิ่งใดสิ่งหนึ่งในกระเป๋าอาจจะแตกเพล้งขึ้นมาได้ ข้อมืออันไร้เรี่ยวแรงจึงค่อย
ๆ
เคลื่อนลงต่ำอย่างช้า ๆ ระมัดระวัง กลิ่มหอมโชยเข้าจมูก เมื่อทรุดตัวลงนั่งบนเตียง กลิ่นนั้นหอมเย็นนักหนา
หากเพราะง่วงงุน
แรกขวัญจึงไม่อยากค้นหาคำตอบ เอนกายลงนอน
ก่อนหัวถึงหมอน
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นในดวงหน้าอ่อนใสเมื่อท่วงทำนองหนึ่งหวานแว่วกระทบหู ขลุ่ยผิว….ผิวลาวดวงเดือน โอ้ว่าดึกแล้วหนอ พี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วง
เพราะรักเจ้าดวงเดือนเอย…. บทต่อไป |
หน้าแรก || เรื่องยาวทั่วไปหลายตอนจบ || นิยายวิทยาศาสตร์ || บทความพิเศษ || เรื่องเขาเล่ามา Copyright © 2001 by Kritapak Boonteekul. All rights reserved. No part of the contents of this website may be reproduced or transmitted in any form or by any means without the written permission of the owner. |